เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 น.ส.นันทวรรณ คุ้มศิริ อายุ 35 ปีทำงานเป็นพนักงานรายวันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านปู่เจ้าสมิงพราย ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้หอบเอกสารเข้าขอความเป็นธรรมกับ ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ที่สำนักงานเกรียงศักดิ์และเพื่อนทนายความการบัญชี จำกัด ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 1287 ตลาดธรรมสาโรจน์ ถนนสุขุมวิท ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง สมุทรปราการ
เนื่องจากอยู่ดีๆก็กลายเป็นผู้ต้องหาถูกกรรมสรรพากรเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง โดยกล่าวหาว่าตนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท บีอีเอ็นซี จำกัด โดยแจ้งว่า”แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามประมวลกฎหมายรัษฏากร” เป็นเงินถึง 32 ล้านบาท ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้า มีรายได้ 300 กว่าบาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งต้องเช่าห้องอยู่ มีภาระต้องดูแลลูกอีก 4 คนและแม่อายุ 70 ปี ที่ต้องคอยดูแล หากตนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจริง ก็คงไม่ต้องมาทำงานเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้าแบบนี้หรอก
ซึ่งตนก็รับไม่ได้มันก็มีความคิดเขามาในหัวว่าตนอยากฆ่าตัวตาย นั่งร้องไห้ทุกวัน กินข้าวไม่ได้ตั่งแต่วันที่กลับมาจากศาลวันนั้น และก็นอนไม่หลับ จนต้องกินยานอนหลับ ตนเครียดจนไม่ไหวแล้ว มันร้ายแรงสำหรับคนจนที่หาเช้ากินค่ำและต้องมาเจอแบบนี้
ด้านทนาย ดร.เกรียงศักดิ์ ได้กล่าวว่า หลังจากนี้ที่ตนรับเรื่องมาแล้ว ดังนั้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ก็ต้องไปที่อัยการ เพื่อทำคำร้องขอความเป็นธรรม คงต้องยื่นดู แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะยื่นในวันที่ 12 หรืออาจจะยื่นก่อน ที่จะขึ้นศาล เพราะว่าต้องการให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งตนจะทำคำร้องขอความเป็นธรรมขึ้นไป เราเอารายละเอียดให้อัยการฟัง ตนไม่อยากไปเสี่ยงในวันที่ 13 เกรงว่าหากอัยการสั่งฟ้องขึ้นมาและไม่มีเงินประกัน น้องเขาจะต้องเข้าเรือนจำ และเขาติดคุก
สำหรับคดีนี้ต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี ซึ่งน้องจะติดคุกยาว ตนจึงต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไร เพราะตนช่วยในคดีนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว และตนก็ต้องไปคัดเอกสาร และพอรับคำฟ้องมันก็จะมีเลขทะเบียนของนิติบุคคล ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่าน้องเขามีส่วนร่วมในกระบวนการหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ยังไม่เชื่อน้องเขาทีเดียว มันก็ต้องตรวจสอบ เพราะน้องเขามาร้องขอความเป็นธรรมและเขาก็ไม่มีเงินเลย และไม่รู้จักกับบริษัทที่ถูกกล่าวหาเลย ตนก็ต้องมาคัดเอกสารดู
แต่ที่คัดเบื้องต้นยังไม่พบชื่อของน้องเขาเป็นประธานกรรมการแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้ตนก็ต้องทำเอกสารไปยื่นต่ออัยการ เพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง สุดท้ายถ้าเข้าสู่ระบบการของศาลแล้ว ตนเชื่อว่าศาลยกฟ้อง แต่ระหว่างนั้นก็หาวิธีขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือใช้ กำไล EM เพราะมีสิทธิ์ที่จะร้องขอศาลซึ่งตนจะลองขอดู ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่ในดุลพินิจของศาล คือเขาไม่ผิดก็ไม่อยากให้เขาติดคุก เพราะน้องเขาไม่รู้เขาเป็นชาวบ้านธรรมดาเขาไม่รู้ว่าจะหาเอกสารอะไรไปชี้แจง